หน้าแรก / ข่าวลิเวอร์พูล / บทสรุปฤดูกาล 2013/14 "Season of Change"

บทสรุปฤดูกาล 2013/14 "Season of Change"

StevieG 2014-05-12 16:23:43
บทสรุปฤดูกาล 2013/14 Season of Change

          ปิดฉากปฐมบทการกลับมาสุดยิ่งใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2013/14 ของ ลิเวอร์พูล ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวต่าง ๆ ให้หลายต่อหลายคนได้จดจำและพูดถึงไปอีกนานเท่านาน สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในซีซั่นนี้ราวกับหนังชีวิตของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด รวมไปถึงแฟนบอล "เดอะ ค็อป" ทั่วโลกทุกคน และไม่ว่าผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร มีสุขสมหวังและทุกข์ปะปนกันไป ก็ไม่อาจทำให้ทีมเสียจุดยืนเหมือนกับหลาย ๆ ฤดูกาลก่อนอย่างแน่นอน

          แม้ว่าความสำเร็จจะยังไม่เป็นของ "หงส์แดง" ในคราวนี้ แต่โอกาสหน้ายังเชื่อลึก ๆ ว่ากองทัพ "เครื่องจักรสีแดง" ที่ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง ภายใต้การทำทีมของกุนซือ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส และเจ้าของสโมสรอย่าง จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี่ จะทำให้ทีมกลับมาทวงคืนความยิ่งใหญ่ที่ถูกขโมยไปได้แน่นอน ก็ได้แต่หวังว่าจะมีแชมป์ติดไม้ติดมือสักรายการให้กับยอดกัปตันอย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด ได้ชูก่อนที่จะต้องเลิกอาชีพค้าแข้งในอนาคตอันใกล้นี้

          การเปลี่ยนแปลงโดยสมบูรณ์ในฤดูกาล 2013/14 ที่ต้องพูดถึงนั่นก็คือ สไตล์การเล่นที่เป็นเอกลักษณ์ของ ลิเวอร์พูล ที่ไม่ได้เห็นมานานได้ถูกปลุกเสกขึ้นมาอีกครั้ง เกมรุกที่เต็มไปด้วยผู้เล่นที่มีความสามารถเฉพาะตัวสูงและความเร็วที่จัดจ้าน ทำให้พวกเขายิงประตูรวมสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์นับตั้งแต่เปลี่ยนมาเป็นพรีเมียร์ลีก ด้วยจำนวนทั้งสิ้น 101 ประตู

          และแม้ว่าพวกเขาจะยิงประตูได้มากมายเป็นกอบเป็นกำก็ตาม แต่สุดท้ายก็ต้องแพ้ภัยตัวเอง เพราะปัญหาเกมรับที่ยังคงเป็นเงาตามตัว สลัดไม่หลุดสักที ทำให้ซีซั่นนี้เสียประตูไปถึง 50 ลูก จาก 38 เกมที่ลงเตะในพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยที่ทีมลุ้นแชมป์ไม่ควรมี เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งลุ้นแย่งแชมป์ด้วยกันเอง

          ปัจจัยที่ทำให้ทีมไปไม่ถึงฝั่งฝันในฤดูกาล 2013/14 คงต้องชี้ไปที่เกมรับที่ขาดความแน่นอนและความเก๋าเกม ไม่น่าเชื่อว่าผู้เล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คของ ลิเวอร์พูล ทั้ง 4 คน จะไม่สามารถยืนเป็นตัวหลักคอยประคองเกมรับได้เลย เมื่อหันไปดูทีมคู่แข่งอย่าง "เรือใบสีฟ้า" ที่มี แว็งซ็อง ก็องปานี หรือแม้กระทั่ง เชลซี ที่มี จอห์น เทอร์รี่ เฝ้าหลังบ้านอยู่

          อย่างไรก็ตามเป้าหมายที่แท้จริงของ ลิเวอร์พูล ก่อนลงแข่งฤดูกาล 2013/14 มีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือการกลับไปเล่นในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้ได้ในฤดูกาลหน้า ซึ่งทฤษฎีการเก็บคะแนนเฉลี่ยนัดละ 2 แต้มนั้นถือว่าเป็นผลสำเร็จ โดยที่เป้าหมายอื่น ๆ เป็นเพียงแค่โบนัสเท่านั้น การพลาดแชมป์ในซีซั่นนี้อาจจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายในหลาย ๆ กรณี แต่เอาเข้าจริงแล้ว ต้องยอมรับว่าขนาดทีมและศักยภาพโดยรวมของขุมกำลังยังสู้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เชลซี ไม่ได้

                Luke Shaw: Southampton – Click the arrow to see more defenders who could potentially take Liverpool to the next levelMarcel  Schmelzer: DortmundAlberto Moreno: Sevilla
                               Kyriakos Papadopoulos: SchalkeToby Alderweireld: Atletico Madrid

          หากต้องการกลับมาทวงความยิ่งใหญ่อีกครั้งในฤดูกาลหน้า จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเสริมทัพด้วยนักเตะเกรด B ถึง A ขี้นไป และด้วยอานิสงค์ของการไปเล่นถ้วยใหญ่ของยุโรปจะทำให้ทีมสามารถดึงเหล่าบรรดานักเตะฝีเท้าดีระดับแถวหน้ามาร่วมทัพได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าการดึงนักเตะแนวรับดี ๆ เข้ามาร่วมทีมเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น ลุค ชอว์ (เซาท์แฮมป์ตัน), มาร์เซล ชเมลเซอร์ (ดอร์ทมุนด์), อัลเบร์โต้ โมเรโน่ (เซบีย่า), คีเรียกอส ปาปาโดปูลอส (ชาลเก้) และ โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ (แอตเลติโก มาดริด) แม้ว่านักเตะเหล่านี้จะไม่ใช่จิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายของทีม แต่ก็น่าจะช่วยให้ทีมก้าวขึ้นไปอีกขั้นได้

          สำหรับการเสริมในตำแหน่งอื่น ๆ ดูเหมือนว่าจะเริ่มใกล้ความจริงเข้ามาทุกทีในรายของ อดัม ลัลลานา กัปตันทีม "นักบุญแดนใต้" ที่กำลังเป็นที่ต้องการของหลาย ๆ ทีม หรือแม้กระทั่งนักเตะปล่อยยืมที่โชว์ฟอร์มดีจนน่าจะกลับมาเป็นอะไหล่สำคัญให้กับทีมได้ ไม่ว่าจะเป็น ฟาบิโอ บอรินี่ (ซันเดอร์แลนด์-ยืม), ซูโซ่ (อัลเมเรีย-ยืม), อังเดร วิสดอม (ดาร์บี้-ยืม) และ อุสซาม่า อัสไซดี้ (สโต๊ค-ยืม) เชื่อเลยว่าพวกเขาเหล่านี้น่าจะมีโอกาสกลับมายึดตำแหน่งตัวจริงกันได้บ้างไม่มากก็น้อย

          ซึ่งสิ่งแรกที่ต้องระวังที่สุดก่อนตลาดซื้อ-ขายหน้าร้อนในช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคมจะมาถึง นั่นก็คือการรักษา หลุยส์ ซัวเรซ ให้อยู่กับทีมต่อไปให้ได้ ไม่ว่าจะกรณีไหนก็ตาม เพราะว่าเขาเป็นนักเตะที่มีความสามารถสูงและแฝงไปด้วยมูลค่าทางการตลาด เรียกว่าเป็นหัวใจสำคัญของสโมสรเลยก็ว่าได้ แต่สุดท้ายไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็คงต้องยอมรับชะตากรรมโดยดีหากต้องเสียเขาไปจริง ๆ

          และสิ่งสุดท้ายก็คือโปรแกรมการแข่งขันที่ค่อนข้างชุกแน่นอน ไม่ว่าจะเป็น พรีเมียร์ลีก, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, เอฟเอ คัพ, และแคปิตอล วัน คัพ รับรองว่าขนาดของทีมที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ ไม่สามารถรับมือกับโปรแกรมทั้งหมดได้ หากไม่มีการเสริมทัพที่ดีและการหมุนเวียนนักเตะในแต่ละเกม คราวนี้คงต้องหวังพึ่งความสามารถและมันสมองอันชาญฉลาดของ ร็อดเจอร์ส ในการปรับจูนและแก้ไขแทคติกต่าง ๆ ให้พร้อมก่อนที่ฤดูกาลใหม่กำลังจะเริ่มขึ้น

          โดยก่อนหน้านี้ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ได้ออกมาย้ำชัดว่าซีซั่นหน้า "หงส์แดง" จะแกร่งมากขึ้นกว่านี้อีก ซึ่งนี่อาจเป็นสาส์นท้ารบของเขาที่บอกต่อไปยังคู่แข่งแย่งแชมป์ในทุก ๆ รายการที่ลงสนาม โดยเขาบอกเพิ่มเติมอีกว่า นักเตะที่มีประสบการณ์สูงหลายรายในทีมบวกกับแข้งดาวรุ่งที่กำลังขึ้นมาจะช่วยทำให้ทีมประสบความสำเร็จได้

          สำหรับเหล่าแฟนบอล "เดอะ ค็อป" ที่รอคอยความสำเร็จยาวนานไม่แพ้กับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ เจมี่ คาร์ราเกอร์ ก็หวังว่าจะรักและเชียร์กันต่อไป แม้ว่าจะสุขหรือทุกข์ก็พร้อมที่จะเดินด้วยกันตลอดไป "You'll Never Walk Alone" ขอบคุณทุกแรงสนับสนุนและทุกกำลังใจที่ทุกท่านมีต่อ "หงส์แดง" อันเป็นที่รักของพวกเราตลอดกาล

 

ADS