หน้าแรก / ข่าวลิเวอร์พูล / พรีวิว แคปิตอล วัน คัพ ลิเวอร์พูล -vs- แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (23.30 น.)

พรีวิว แคปิตอล วัน คัพ ลิเวอร์พูล -vs- แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (23.30 น.)

พรีวิว แคปิตอล วัน คัพ ลิเวอร์พูล -vs- แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (23.30 น.)

พรีวิว แคปิตอล วัน คัพ ลิเวอร์พูล -vs- แมนเชสเตอร์ ซิตี้

วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2016 เวลา 23.30 น.

สนาม เวมบลีย์

ผู้ตัดสิน ไมเคิล โอลิเวอร์

ถ่ายทอดสด SuperSport 3 Africa

     ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เตรียมทำศึกนัดสำคัญกับถ้วยเกียรติยศชิ้นแรกของเกาะอังกฤษในวันอาทิตย์นี้ ที่สนาม เวมบลีย์ กับเกมชิงชนะเลิศ แคปิตอล วัน คัพ ซึ่งในรายการนี้ ลิเวอร์พูล ฟาดแชมป์ไปแล้ว 8 สมัย ขณะที่ทีมเรือใบสีฟ้าก็กำลังมองหาโอกาสชูถ้วยใบนี้เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 ปี เกมนี้ใครจะเป็นผู้ชนะ ร่วมส่งแรงเชียร์ให้กระหึ่มได้ 5 ทุ่มครึ่งของวันนี้

สภาพทีมล่าสุด : ลิเวอร์พูล

     หงส์แดง ลิเวอร์พูล จะได้ อดัม ลัลลาน่า, โจ อัลเลน และ มาร์ติน สเคอร์เทล กลับมาซ้อมทกับทีมชุดใหญ่ แต่ยังไม่ชัวร์ว่าจะได้เป็นตัวจริงที่ เวมบลีย์ เพราะสภาพความฟิตและบาดเจ็บไประยะหนึ่ง โดยเฉพาะ สเคอร์เทล ที่เจ็บมาตั้งแต่กลางธันวาคม แต่ข่าวดีคือ เดยัน ลอฟเรน หายป่วยแล้วเมื่อต้นสัปดาห์นี้ โดยในนัดล่าสุดที่ชนะ เอ๊าก์สบวร์ก คล็อปป์ เลือกใช้ ลูคัส เลว่า เป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ดังนั้นต้องมาดูว่าคืนนี้เขาจะยังใช้แผนนี้ต่อไป หรือโยก ลูคัส มาเล่นกลางรับตามถนัดเหมือนเดิม

สภาพทีมล่าสุด : แมนเชสเตอร์ ซิตี้

Kelechi Iheanacho during training

     ด้าน แมน ซิตี้ คาดว่าจะได้ วิลเฟร็ด โบนี่ และ เฆซุส นาบาส กลับคืนสู่ทีมชุดนี้เช่นเดียวกับ เอเลียควิม มองกาล่า ที่ไม่ได้ลงเล่นเลยตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม แต่ล่าสุดมีชื่อเป็นสำรองที่ไม่ได้ใช้ในเกมถล่ม ดินาโม เคียฟ 4-1 นอกจากนั้น เปเยกรินี่ ยังหวังว่า แวร์ซองต์ กอมปานี, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และ บาการี่ ซาญ่า จะมีส่วนร่วมในเกมนี้ได้ หลังจากถูกแยกซ้อมทั้ง 3 คน ทั้งนี้ วิลลี่ กาบาเยโร่ จะได้เฝ้าประตูแทน โจ ฮาร์ท รวมทั้ง เบอร์แซน เซลิน่า, มานู การ์เซีย และ อเล็ก การ์เซีย จะอยู่ทีมชุดนี้ทั้งหมด ขณะที่ ฟาเบียน เดลฟ์, เควิน เดอ บรอยน์ และ ซามีร์ นาสรี่ หมดสิิทธ์ลงสนามเพราะเจ็บทุกคน

คีย์แมน

Daniel Sturridge v Sergio Aguero could be a key battle in the Capital One Cup final

ลิเวอร์พูล : แดเนียล สเตอร์ริดจ์

     จะว่าอาภัพก็ได้ สำหรับ สเตอร์ริดจ์ ที่โดนอาการเดี้ยงเล่นงานอยู่ต่อเนื่อง นับตั้งแต่ยิงประเดิมให้ ลิเวอร์พูล ตั้งแต่ 7 นาทีแรกในเกมเปิดตัวที่ชนะ แมนส์ฟิลด์ 3-1 ในถ้วย เอฟเอ คัพ เมื่อปี 2013 แต่นับจากนั้น เขาก็ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงแค่ 62 จาก 165 เกมในทุกรายการ มากไปกว่านั้นในรอบ 18 เดือนหลังสุด เขาได้เป็น 11 ตัวจริงเพียง 16 จาก 98 นัดเท่านั้นเอง แต่เหลือเชื่อเช่นกันว่า ลิเวอร์พูล แพ้เพียงแค่ 9 นัดเท่านั้นเมื่อมี สเตอร์ริดจ์ ออกสตาร์ทตัวจริง 62 นัด พร้อมชนะสูงถึง 65 เปอร์เซนต์ แต่ตอนนี้คงเป็นช่วงเวลาที่สดใสของเขาแล้ว หลังสลัดอาการเจ็บแฮมสตริงเล่นได้ต่อเนื่อง 5 นัดรวด นับตั้งแต่มีนาคม 2015 และยิงไป 3 จาก 4 นัดที่ได้เป็นตัวจริงให้ คล็อปป์ ได้ชื่นใจ คืนนี้เขาจะเป็นคนที่ทีมต้องฝากความหวังอย่างมากที่สุดในการพังประตู แมนฯ ซิตี้ อย่างเลี่ยงไม่ได้

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : เซร์คิโอ อเกวโร่

     นี่ก็เป็นอีกหัวหอกที่ได้ชื่อว่าเจ็บประจำ แต่ขนาดว่าเจ็บแฮมสตริงและส้นเท้าเป็นระยะ อเกวโร่ ก็ยังอุตส่าห์งัดฟอร์มโหดยิงไปแล้ว 19 ประตู ให้ เปเยกรินี่ ได้อมยิ้ม เขามีค่าเฉลี่ยการพังประตูที่สุดยอดด้วยค่าเฉลี่ยยิง 1 ลูกทุกๆ 106 นาที และ ปี 2016 ก็เป็นช่วงเวลาท็อปฟอร์มของ อเกวโร่ หลังพังไป 10 ลูกจากการลงสนาม 11 นัด และเท่ากับซัดไปแล้ว 126 ประตูในสีเสื้อ แมน ซิตี้ นับตั้งแต่ย้ายมาเมื่อปี 2011 และถ้าเอาสถิติรวมในการค้าแข้งบนยุโรป 10 ปีที่ผ่านมาให้ แอตเลติโก มาดริด และ แมนฯ ซิตี้ ร่วมกันก็ปาเข้าไป 227 ประตูแล้ว ที่สำคัญเขาน่าจะมีแรงจูงใจเป็นพิเศษในนัดนี้ เพราะยังทำประตูที่ เวมบลีย์ ได้แค่ครั้งเดียว คือเกมที่ชนะ เชลซี ใน เอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ เมื่อปี 2013 เท่านั้น แต่เราก็หวังว่าวันนี้เขาจะโชว์ฟอร์มเก่งออกมาไม่ได้ และกองหลังทุกคนของ ลิเวอร์พูล ต้องจับตายให้ดี

วาทะก่อนเกมของผู้จัดการทั้งสองทีม

Managers

เจอร์เก้น คล็อปป์ :

     "ในงานอาชีพกุนซือนั้น เราต้องการคว้าแชมป์ไม่ว่าจะบอลลีกหรือบอลถ้วย ผู้เล่นและผู้จัดการมากมายต้องทำงานตลอดชีวิต และประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสคว้าแชมป์ใดๆ อะไรจะเกิดขึ้น เราต้องคอยดูกัน ซิตี้ คือคู่แข่งที่แข็งแกร่ง ผมมีภาพสวยๆ อยู่ในหัวหลังจบเกม กับแฟนๆ ของเราที่ เวมบลีย์ นั่นคือเหตุผลที่แท้จริงในการที่จะได้อยู่ฉลองแชมป์ด้วยกัน"

มานูเอล เปเยกรินี่ :

     "สำหรับทุกๆ คน เวมบลีย์ คือหนึ่งในสนามที่สำคัญที่สุดของโลก การลงนัดชิงชนะเลิศที่นั่นจะสร้างบรรยากาศที่แตกต่างออกไปจากเดิม มันเป็นเรื่องพิเศษ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผลถึงให้ความเคารพในฟุตบอลทุกๆ ถ้วยอย่างมาก ลิเวอร์พูล มีเกมที่ดีมากๆ ในการเจอกับเราที่ เอติฮัด เราทำผิดพลาดเยอะมากใน 15 นาทีแรก ดังนั้นพวกเขาเลยตัดสินเกมตั้งแต่หัววัน แต่ครั้งนี้เกมย่อมแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง"

ฟอร์มการเล่น

     ฟอร์มช่วงนี้ของคลับหงส์แดงถือว่าอยู่ช่วงที่มั่นใจ โดยเฉพาะเกมรับที่ 3 นัดหลังเก็บคลีนชีทได้หมด พร้อมยิงไปแล้ว 7 ประตู แต่ทางด้านเรือใบสีฟ้าก็เพิ่งปล่อยฟอร์มดุบุกไปขยี้ ดินาโม เคียฟ 3-1 ใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งเป็นเกมที่ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง เล่นได้อย่างสุดยอดอีกด้วย แต่ 3 นัดก่อนหน้าแพ้รวดต่อ เชลซี, สเปอร์ส และ เลสเตอร์ ซิตี้

ประวัติการพบกัน

     เกมคืนนี้จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทั้งสองทีมที่ได้ลงเล่นเกมชิงชนะเลิศในทุกรายการ โดยในบอลถ้วยนั้น ลิเวอร์พูล ยังไม่เคยแพ้ต่อ แมน ซิตี้ เลยแม้แต่ครั้งเดียว ตลอดการพบกัน 8 ครั้งหลังสุดในบอลถ้วย (ชนะ 6, เสมอ 2) ครั้งสุดท้ายที่ปราชัยให้ทีมเรือใบ ต้องย้อนไปในเกมรีเพลย์ เอฟเอ คัพ รอบ 4 เมื่อปี 1973

รายชื่อนักเตะที่คาดว่าจะลงสนาม

livlineup

ลิเวอร์พูล (4-3-3) : ซิมง มิโญเล่ต์ - นาธาเนี่ยล ไคลน์, โคโล่ ตูเร่, มามาดู ซาโก้, อัลแบร์โต้ โมเรโน่ - เอ็มเร่ ชาน, เจมส์ มิลเนอร์ , จอร์แดน เฮนเดอร์สัน - ฟิลิปเป้ คูตินโญ่, โรแบร์โต้ ฟีร์เมียโน่, แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (4-2-3-1) : วิลลี่ กาบาเญโร่ - บาการี่ ซาญ่า, แว็งซ็องต์ ก็องปานี, นิโกลัส โอตาเมนดี้, อเล็กซานดาร์ โคลารอฟ - แฟร์นันโด, แฟร์นันดินโญ่ - ยาย่า ตูเร่, ดาบิด ซิลบา, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง - เซร์คิโอ อเกวโร่

ทรรศนะ Siamliverpool

     แม้ 3 นัดหลังสุดที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล จะไม่เสียประตูเลยก็ตาม แต่นั่นก็เป็นเพราะคู่แข่งฝีเท้าต่ำชั้นทั้งสิ้น ไม่ว่าจะ เอาก์สบวร์ก หรือ แอสตัน วิลล่า แต่กลับ ซิตี้ ที่แนวรุกโหดระดับโลกพร้อมทำประตูได้ทุกตัว เชื่อได้ว่าเกมนี้การทำประตูจะมากเป็นพิเศษ เพราะมีแรงจูงใจสูงทั้งคู่ โดยเฉพาะ เรือใบสีฟ้า ที่หวังถอนแค้นเป็นพิเศษจากครั้งโดนยำ 4-1 กระนั้นผู้เล่นของพวกเขาไม่ถือว่าฟูลทีมมากนัก ทำให้ ลิเวอร์พูล ยังมีโอกาสจะชนะได้เหมือนกัน เพราะแนวรับ แมนฯ ซิตี้ ก็ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก หาก 3 ประสานของ ลิเวอร์พูล ชิงขึ้นนำได้เร็ว เชื่อว่ามีสิทธิ์ถึงแชมป์ได้เหมือนกัน แต่อาจต้องแลกหมัดกันหนักเป็นพิเศษ

ฟันธง : ลิเวอร์พูล  ดวลเดือด 3-2

ADS