สเตอร์ริดจ์ กับสถานการณ์ที่ยากลำบาก

สเตอร์ริดจ์ กับสถานการณ์ที่ยากลำบาก

โดย เออร์นี่ ฟ็อกซ์

     ดั่งกับรถไฟเหาะสำหรับเส้นทางการค้าแข้งของนักเตะหนุ่มในวัย 26 ปี ที่มาไกลถึงจุดนี้ บนมือข้างหนึ่งของเขาทำให้พบกับการคาดหวังอันน่าตื่นเต้น เฉกเช่นเดียวกับ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์, เอียน รัช ,โรเจอร์ ฮันท์ และ หลุย ซัวเรซ เมื่อพูดถึงการถล่มประตูที่ทำได้มากกว่าเหล่าตำนานกองหน้าของทีมทุกคน หากวัดจาก 50 เกมแรกที่ได้ลงเล่น แต่อีกด้านหนึ่งเขาต้องเจอกับปัญหาบาดเจ็บที่ทำให้เขาต้องพลาดการลงเล่นที่อาจจะเทียบเท่ากับจำนวนโอกาสที่เขาได้ลงสนาม

     เรายังหวังในตัว สเตอร์ริดจ์ ได้อยู่จริงหรือ? สิ่งที่เขามอบความสำเร็จให้กับเราแต่ตอนนี้เขาต้องเผชิญกับปัญหาบาดเจ็บเรื้อรังที่ยังไม่รู้ว่าจะกลับมาเหมือนเดิมหรือไม่ หรือมันอาจจะทำให้เราถอดใจจนต้องหาตัวเลือกอื่นในตลาดมกราคมนี้แทน?

     ย้อนไปตอนที่ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ได้จรดปากกาเซ็นสัญญากับทีมในปี 2013 มีความเห็นแตกออกเป็นสองเสียงเกี่ยวกับการดำเนินการของสโมสรในครั้งนั้น อดีตผู้บริหารบางคนอ้างว่า เขาไม่ได้เป็นสิ่งที่ ลิเวอร์พูล กำลังมองหาในตอนนี้ เขาอาจไม่ได้มีทัศนคติที่ถูกต้องที่จะประสบความสำเร็จได้ ไม่มีใครสงสัยในความสามารถใดๆของเขา แต่ความล้มเหลวที่ซ่อนเร้นนั้นเกิดขึ้นมาตั้งแต่ที่ แมนฯ ซิตี้ เชลซี จนมาถึง แอนฟิลด์ เขาถูกมองเป็นตัวเลือกสุดท้ายที่จะได้พิสูจน์ความสามารถตัวเองในระดับสูง

     สเตอร์ริดจ์ พิสูจน์ตัวเองอย่างรวดเร็วและสามารถตอกกลับเสียงวิจารณ์ได้ทันทีทันใดจากการยิงประตูเปิดตัวใส่ แมนส์ฟิลด์ทาวน์ ในเอฟเอ คัพ จากนั้นเพียง 7 นาที เขาได้โชว์ทักษะการเลี้ยงพอเรียกน้ำย่อยให้เห็น ตามมาด้วยการยิงประตูใส่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เท่านั้นยังไม่พอ สเตอร์ริดจ์ สามารถทำประตูใส่ นอริช จากการเล่นเกมลีกนัดแรกของเขา นั่นเป็นก้าวแรกและเขาดูจะประสบความสำเร็จทันทีกับสโมสรของเรา มันยังคงเป็นเช่นนั้นในซีซั่นถัดไป

     ฤดูกาล 2013-14 เป็นฤดูกาลที่น่าจดจำที่สุดจากการผนึกกำลังระหว่าง ซัวเรซ และ สเตอร์ริดจ์ การประสานงานอย่างเข้าขาได้ส่งให้เพื่อนร่วมทีมชาวอุรุกวัยคว้าตำแหน่งรองเท้าทองคำไปครอง โดยที่เขาก็ไม่น้อยหน้ากับตำแหน่งรองดาวซัลโวจาก 21 ประตูของเขาในลีก ความสำเร็จของเขายังคงรุดหน้าต่อไปแม้ว่าซีซั่นถัดมาทีมจะไม่มี ซัวเรซ แต่เขายังคงทำประตูให้ทีมอย่างไม่หยุดหย่อนและมักจะเป็นประตูที่สำคัญสำหรับทีมในช่วงต้นซีซั่นที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะคู่แข่ง 1-0 ไปถึง 3 นัด

     ในช่วงเวลาของเขากับสโมสร สเตอร์ริดจ์ ถูกยกให้เป็นแข้งที่มีคุณภาพระดับโลกจากความสามารถเฉพาะตัว เขาสามารถตัดสินเกมด้วยตัวเอง แม้เขาต้องปล่อยให้ ซัวเรซ เฉิดฉายเหนือใครในปี 2013-14 แต่ถึงกระนั้น สเตอร์ริดจ์ ก็ยังคงส่วนสำคัญสำหรับทีม ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมทุกคนทุกเชื่อมั่นในตัวเขา ตอนที่ ซัวเรซ ตบเท้าออกจากสโมสรในช่วงซัมเมอร์ ปี 2014 นั่นคือสิ่งที่ ลิเวอร์พูล ต้องรับมือกับการสูญเสีย แน่นอนประวัติศาสตร์มักบอกว่าเราไม่สามารถรับมือกับมันได้

     ความเป็นจริงก็คือ ฤดูกาลที่ผ่านมาเราต้องเสียสองนักเตะที่โดดเด่นที่สุดไป ซัวเรซ อาจจะถูกขายให้ บาร์เซโลน่า แต่ความหวังเดียวอย่าง สเตอร์ริดจ์ กลับต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับนอกสนาม ไม่มีข้อแก้ตัวอะไรสำหรับสโมสรเพราะพวกเขามีช่วงเวลาที่น่ากลัวเพียงน้อยนิดเท่านั้น ในมุมมองของเขา สเตอร์ริดจ์ เป็นเพียงความสูยเสีญเพียงครึ่งเดียวเมื่อเทียบกับการหายไปของ ซัวเรซ แต่สิ่งนี้เองกลับเป็นเรื่องน่าเศร้าพอสมควรในมุมมองของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส

     เราได้เห็น สเตอร์ริดจ์ เพียงช่วงเวลาระยะสั้นๆเท่านั้น ปัญหาอาการบาดเจ็บที่รุมเร้าต่อเนื่องเริ่มทำให้คุณตั้งข้อสงสัยว่า เราควรต้องหาใครมาทดแทนเขาหรือไม่ในตลาดซื้อขายเดือนมกราคม ปัญหามีอยู่ว่า เขาอาจกำลังต่อสู้กับอาการบาดเจ็บเพื่อกลับมาลงสนามให้ได้ แต่ไม่มีใครรับประกันได้ว่าเขายังคงเป็นผู้เล่นคนเดิมที่เรารู้จักเมื่อเกือบสองปีที่ผ่านมา

     ผมรู้สึกผิดหวัง เพราะนักเตะวัย 26 กระรัตผู้นี้ ไม่สมควรถูกยิบยกในที่ประชุมเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องพิสูจน์ตัวเองในสนาม นับเป็นเรื่องน่าเศร้ากับปัญหาอาการบาดเจ็บที่คอยขัดขวางเส้นทางในฐานะดาวยิงระดับโลก เกมกับ สวอนซี เราได้เห็น สเตอร์ริดจ์ กลับมาอีกครั้ง คงมีแต่เวลาเท่านั้นที่จะบอกได้ว่า เขาสามารถรักษาสภาพร่างกายเช่นนี้ได้อีกนานเพียงใด

     อีกไม่นานตลาดซื้อขายในเดือนมกราคมก็จะเริ่มแล้ว แต่ผมยังสงสัยว่าเขาจะหลีกหนีปัญหาอาการบาดเจ็บและโชว์ผลงานออกมาได้ดีอีกครั้ง จากเวลาที่เหลืออีกแค่เดือนเดียวเท่านั้น