หน้าแรก / ข่าวลิเวอร์พูล / จาก 1-3 สู่ 3-1! "หงส์แดง" หลังผ่านไป 50 วัน

จาก 1-3 สู่ 3-1! "หงส์แดง" หลังผ่านไป 50 วัน

จาก 1-3 สู่ 3-1! หงส์แดง หลังผ่านไป 50 วัน

          อย่างที่ทราบกันดีว่า ลิเวอร์พูล มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมากในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา แต่ใครจะรู้ว่าเกมสุดท้ายที่ ลิเวอร์พูล แพ้นั้น เป็นการพลาดท่าให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-3 ที่สนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2015

MANCHESTER, ENGLAND - Saturday, September 12, 2015: Liverpool's Roberto Firmino in action against Manchester United's Daley Blind during the Premier League match at Old Trafford. (Pic by David Rawcliffe/Propaganda)

          หลังจากนั้นเป็นเวลากว่า 50 วันเศษๆ ที่ "หงส์แดง" ต้องคำสาปเสมอกระจาย 8 จาก 10 เกมหลังสุดในทุกรายการ ซึ่งเป็นช่วงฟอร์มตกสุดเหวี่ยงนับตั้งแต่ออกสตาร์ทฤดูกาลนี้เลยก็ว่าได้

          แต่แล้วการเข้ามาเปลี่ยนแปลงทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ทำให้อะไรๆ เริ่มดีขึ้น แม้ว่าจะยังไม่สามารถเก็บชัยได้เลยในช่วง 2-3 เกมแรกที่เข้ามาคุมทีม จนกระทั่งมาได้แมตช์ปลดล็อคในศึก ลีก คัพ ที่เอาชนะ บอร์นมัธ 1-0 ช่วยลดความกดดันให้กับทุกฝ่ายได้เยอะ

LONDON, ENGLAND - Saturday, October 31, 2015: Liverpool's manager Jürgen Klopp celebrate with Mamadou Sakho after their 3-1 victory over Chelsea during the Premier League match at Stamford Bridge. (Pic by David Rawcliffe/Propaganda)

          "จาก 1-3 สู่ 3-1" ตลอดเส้นทางที่โรยด้วยหนามกุหลาบ แม้ว่าจะไม่แพ้ใครเลยก็ตาม แต่ก็ไม่ทำให้แฟนๆ ยิ้มได้เต็มปาก แถมยังต้องหลบๆ ซ่อนๆ แฟนบอลคู่อริที่โบยบินอยู่เหนือตาราง

          แล้ววันที่รอคอยก็มาถึงในเกมลีกสัปดาห์ 11 เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2015 เจอร์เก้น คล็อปป์ และลูกทีมทำให้แฟนๆ กว่าหลายล้านชีวิตได้กระโดดโลดเต้น เมื่อสามารถบุกคว้าชัยเหนือ เชลซี 3-1 จากสองประตูของ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ และหนึ่งประตูของ คริสติย็อง เบนเตเก้ ที่ลงมาเป็นสำรอง

          ก่อนเกมจะเริ่มขึ้น คล็อปป์ สร้างเซอร์ไพรส์นิดๆ เมื่อเผย 11 รายชื่อตัวจริงไม่มีหน้าธรรมชาติเลยและยังวาง โรแบร์โต้ เฟียร์มิโน่ เป็นตัวเป้า ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคิดอะไรอยู่ในหัว ซึ่งสิ้นเสียงนกหวีดได้เพียงไม่กี่นาที สาวก "เดอะ ค็อป" ต้องกุมขมับอีกครั้ง เมื่อโดน เชลซี ขึ้นนำอย่างรวดเร็ว 1-0

LONDON, ENGLAND - Saturday, October 31, 2015: Liverpool's manager Jürgen Klopp during the Premier League match against Chelsea at Stamford Bridge. (Pic by David Rawcliffe/Propaganda)

          จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงท้ายครึ่งแรก เป็นทางด้านของเจ้าหนู "คูตี้" ที่ซัดให้ทีมไล่ตีเสมอมาเป็น 1-1 จากลูกยิงสุดสวย ชนิดที่ โชเซ่ มูรินโญ่ ถึงกับหันมาดูและรีบหันกลับพร้อมเดินลงอุโมงค์ไปแบบเซ็งๆ ก่อนจะมาได้อีกสองประตูในช่วงครึ่งหลัง ซึ่งต้องบอกว่ารูปเกมของ ลิเวอร์พูล เป็นต่อเจ้าบ้านอย่างไม่น่าเชื่อ

          แม้ว่าปัญหาที่คาราคาซังของ "หงส์แดง" ก็คือการไม่มีทางเลือกในกองหน้ามากนัก จนทำให้ "คิงคอง" เบนเตเก้ เป็นเพียงออฟชั่นเดียวที่เหลืออยู่ แต่ คล็อปป์ ก็สามารถสร้างเกมรุกที่ดุดันจากแดนกลาง โดยใช้มิดฟิลด์เป็นตัวเดินเกมทั้งหมด คอยป่วนเกมรับ "สิงห์บลูส์" ซึ่งส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าเจ้าบ้านเองก็เล่นกันได้ต่ำกว่ามาตรฐานไม่ใช่น้อย

LONDON, ENGLAND - Saturday, October 31, 2015: Liverpool's manager Jürgen Klopp celebrates with Alberto Moreno and Jordon Ibe after the 3-1 victory over Chelsea during the Premier League match at Stamford Bridge. (Pic by David Rawcliffe/Propaganda)

          ดูเหมือนผู้เล่นส่วนใหญ่ในสนามจะโชว์ฟอร์มกันได้ดีแทบทั้งหมด โดยเฉพาะ อัลเบร์โต้ โมเรโน่ ที่เกมนี้สามารถออกบอลได้แม่นยำกว่า นาธาเนี่ยล ไคลน์ อยู่ที่ 82% ต่อ 78% และยังสามารถสร้างสรรค์โอกาสให้กับทีมได้มากกว่า ไคลน์ ถึง 17 ต่อ 6 ครั้งอีกด้วย เรียกว่าเกมริมเส้นฝั่งซ้ายของ ลิเวอร์พูล กลายเป็นอาวุธหลักของทีมไปโดยปริยาย

          ในขณะที่มิดฟิลด์สามรายอย่าง เจมส์ มิลเนอร์, ลูคัส เลว่า และ เอ็มเร่ ชาน จะเริ่มประสานงานกันได้ลงตัวมากขึ้น จนทำให้การเคลื่อนที่ในเกมรุกของทีมเริ่มเข้าที่เข้าทาง เช่นเดียวกับเกมรับก็สามารถผ่อนภาระกองหลังได้เป็นอย่างดี

LONDON, ENGLAND - Saturday, October 31, 2015: Liverpool's manager Jürgen Klopp watches his side warm-up before the Premier League match against Chelsea at Stamford Bridge. (Pic by David Rawcliffe/Propaganda)

          แน่นอนว่าการเข้ามาเปลี่ยนแปลงทีมของกุนซือ "เดอะ นอร์มอล วัน" จะใช้เวลา 24 วันหรือราวๆ 3 สัปดาห์เศษ จนกระทั่งทำให้รูปแบบขึ้นทีมเริ่มเด่นชัดขึ้น แต่ต้องยอมรับว่าสภาพความฟิตของนักเตะก็ยังต้องใช้เวลาอีกสักพักในการปรับตัวเข้ากับแผนวิ่งสู้ฟัด เพราะดูจากหลายๆ เกมที่ผ่านมาก็ยังมีอาการเหนื่อยหอบออกมาให้เห็นบ้าง

          หวังว่า "หงส์แดง" จะสามารถรักษามาตรฐานให้ได้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ถึงจะแพ้บ้างหรือเสมอบ้าง แต่ก็ขอให้เล่นกันได้ไม่แย่เหมือนที่ผ่านมาก็เป็นพอ สำหรับโปรแกรมนัดถัดไปของ ลิเวอร์พูล มีคิวบุกไปเยือน รูบิน คาซาน ทีมดังจากแดนหมีขาวในศึก ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ต้องคอยดูว่า คล็อปป์ จะใช้ผู้เล่นชุดใดลงสนาม และจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง รวมถึงสามแต้มแรกในเกมยุโรปจะมาหรือไม่ ต้องติดตามห้ามกระพริบตา ^^

ADS