5 สิ่งที่ได้เรียนรู้จากเกมลีกในบ้านนัดแรกของ เจอร์เก้น คล็อปป์

5 สิ่งที่ได้เรียนรู้จากเกมลีกในบ้านนัดแรกของ เจอร์เก้น คล็อปป์

     ถือเป็นอีกหนึ่งเกมที่เราต้องลุ้นการคว้าชัยเกมแรกในยุคของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เราทุกคนต่างกำลังจับจ้องไปยังข้างสนามโดยมีเขายืนอยู่ตรงนั้น

     ทีมของ คล็อปป์ เพิ่งเสมอ ท็อตแนม และ รูบิน ในสองเกมที่ผ่านมา แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็เริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกหลาย ๆ จุด โดยเฉพาะนักเตะอย่าง ซาโก้ ที่กำลังเฉิดฉายภายใต้ยุคใหม่ครั้งนี้

นี่คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ผ่านมา และมันจะเป็นบททดสอบที่ยากลำบากของเทรนเนอร์เลือดเยอรมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ใครหลายคนไม่เชื่อว่า คริสติย็อง เบนเตเก้ สามารถทำผลงานได้ยอดเยี่ยมกับ ลิเวอร์พูล

     เมื่อ เจอร์เก้น คล็อปป์ มาถึง ใครหลายคนกลับพูดถึง คริสติย็อง เบนเตเก้ กันยกใหญ่ มันอาจจะดูเป็นเรื่องเกินจริงไปสักหน่อยทั้งที่เขาเป็นศูนย์หน้าที่ทำประตูให้ทีมและเกือบจะเป็นประตูชัยด้วย

     นักวิจารณ์อาจประเมินเขาต่ำจนเกินไปทั้งที่เขาเกือบช่วยให้ผู้จัดการทีมป้ายแดงคว้าชัยชนะแรกของตนได้ในเกมนี้

     อดีตหัวหอก แอสตัน วิลล่า เป็นศูนย์หน้าที่แตกต่างจาก แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ และอดีตยอดศูนย์หน้าของพวกเขาอย่าง หลุยส์ ซัวเรส บางทีความหลากหลายอาจจะเป็นสิ่งที่ ลิเวอร์พูล ต้องการก็ได้

     เขาได้รับความชื่นชมมากขึ้นและเราก็สมควรให้เครดิตแก่เขา ในขณะที่ผู้เล่นคนอื่น ๆ กำลังพยายามปรับตัวเข้ากับสไตล์ของโค้ชใหม่ได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ

     เบนเตเก้ ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมกว่า โอริกี และทุกคนต่างเห็นถึงความแตกต่างระหว่างครึ่งแรกและครึ่งหลังกันแล้ว

เราไม่อาจตัดสิน คล็อปป์ จนกว่าเขาจะได้ศูนย์หน้ากลับมาอย่างพร้อมเพียง

     กับการที่เราต้องเสีย แดนนี่ อิงส์ ที่น่าจะปิดเทอมยาว และหมดสิทธิ์ใช้ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ในเกมล่าสุด ลิเวอร์พูล ต้องเผชิญกับการขาดแคลนศูนย์หน้าตัวเป้า

     ถึงแม้เราจะมี เบนเตเก้ แต่เราไม่สามารถส่งเขาลงได้ตั้งแต่ต้นเกมและเขาต้องออกสตาร์ทจากม้านั่งสำรองในเกมนี้

     หากมองถึงความเป็นจริงที่เหล่าบรรดากองกลางต่างพยายามเร่งฟอร์มและปรับตัวเข้ากลับระบบใหม่ให้ได้ แต่เป็นเพราะศูนย์หน้าที่จำกัดจำเขี่ย นักเตะที่ดูยังไงก็ไม่แน่เป็นตัวจริงได้อย่าง โอริกี ต้องถูกส่งลงสนาม และนั่นปัญหาที่ คล็อปป์ ต้องหาทางแก้ไขให้ได้โดยเร็วที่สุด

เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค คือบทพิสูจน์ในความตาถึงในตลาดซื้อขายนักเตะ

     ถือเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับทีมที่จะสนใจแต่ทิศทางของทีมตัวเองมากกว่าฝ่ายตรงข้าม แต่ ลิเวอร์พูล อาจจะต้องพบกับความจริงที่แสนเจ็บปวดเมื่อต้องเจอทีเด็ดลูกกลางอากาศกองหลังชาวดัตช์อย่าง ฟาน ไดจ์ค เล่นงานในเกมนี้

     ฟาน ไดจ์ค ย้ายจาก เซลติก มาร่วมทัพ "นักบุญ" ด้วยสนนราคาเพียง 11.5 ล้านปอนด์เท่านั้น แถมยังใช้เวลาปรับตัวเพียงเล็กน้อยก็สามารถช่วยทีมมีเกมรับที่แข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้

     จากการคว้าตัวด้วยสนนราคาเพียงเท่านี้ เหมือนเป็นการตรอกหน้าทีมซื้อขายของ ลิเวอร์พูล เข้าอย่างจังและนั่นยังเป็นคำถามว่า คล็อปป์ จะได้ประโยชน์จากตลาดซื้อขายนักเตะครั้งหน้าหรือไม่

มีคำถามว่าทำไม? ซาโก้ ถึงเป็นสำรองในยุค ร็อดเจอร์ส ได้ตั้งนาน

     ซาโก้ กลายเป็นนักเตะที่โดดเด่นที่สุดในแนวรับไปแล้ว ณ เวลานี้ เขาดูเหมือนจะเป็นตัวจริงเหนือ เดยัน ลอฟเรน แถมยังอัพเกรดตัวเองไปอีกขั้นนึง

     ในระยะเวลาที่ ซาโก้ ต้องตกเป็นตัวสำรองภายใต้ยุค เบรนแดน ร็อดเจอร์ส มักมีกระแสข่าวลือจากทาง อิตาลี ว่าเจ้าตัวกำลังทบทวนอนาคตในถิ่น แอนฟิลด์ และอาจหนีไปซบอก โรม่า ที่ กัลโช ซีเรีย อา แทน

     จากผลงานที่ยอดเยี่ยมของ ซาโก้ ภายใต้การคุมทัพของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ปฎิเสธไม่ได้ว่าเขามีส่วนสำคัญที่ทำให้ ซิมง มิโญ่เล่ต์ มีความนิ่งสงบมากขึ้นในตำแหน่งผู้รักษาประตู มากกว่ามี เดยัน ลอฟเรน ยืนอยู่ในแนวรับ

เรามีแนวโน้มกลับมาอย่างรวดเร็วแม้ยังคงมีปัญหาเรื่องปืนฝืด

     แม้เรากำลังวิตกกับการที่นักเตะในแดนหน้ายังปรับตัวเข้ากับสไตล์ คล็อปป์ ไม่ได้อย่างเต็มรูปแบบ เราอาจจะเห็นด้วยว่า แอนดี้ แคร์โรลล์ เข้าสไตล์กับ เวสต์แฮม เป็นอย่างดี และมองว่า เบนเตเก้ ก็เป็นนักเตะที่มีสไตล์ไม่หนีจากอดีตหัวหอก ลิเวอร์พูล ที่ว่าแต่อย่างใด

     แต่ถ้าเรามองไปยังทีมคู่รักคู่แค้นอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่กำลังเฉิดฉายในตำแหน่งหัวตาราง พวกเขาก็มีปัญหาศูนย์หน้าเป้าสะอาดไม่ต่างจากเราเหมือนกัน

     เชื่อว่าใครหลาย ๆ คนคงจะเห็นแล้วนะว่าหัวหอกเบอร์หนึ่งของอังกฤษอย่าง เวย์น รูนีย์ ต้องเจอกับแรงกดดันเพราะทำผลงานได้ไม่เอาไหนมากมายเพียงใด