หน้าแรก / ข่าวลิเวอร์พูล / 5 เหตุผลที่เกมรับของ ลิเวอร์พูล เหนียวแน่นกว่าที่เคยเป็นมา

5 เหตุผลที่เกมรับของ ลิเวอร์พูล เหนียวแน่นกว่าที่เคยเป็นมา

5 เหตุผลที่เกมรับของ ลิเวอร์พูล เหนียวแน่นกว่าที่เคยเป็นมา

5 เหตุผลที่เกมรับของ ลิเวอร์พูล เหนียวแน่นกว่าที่เคยเป็นมา

การเล่นบอลยาวมากกว่าเดิมของ ซิมง มิโญเลต์

     นับตั้งแต่ มิโญเลต์ กลับคืนสู่มือ 1 ในซีซั่น 2014 -15 มาจนกระทั่งบัดนี้ ดูเหมือนเขาจะเปลี่ยนสไตล์การเล่นที่เปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่ ร็อดเจอร์ส เคยกำชับไว้ในแนวคิดของเขาให้พยายามครองบอลเซตเกมจากแนวรับ กลายมาเป็นผู้รักษาประตูที่เน้นการผ่านบอลยาว มากกว่าในอดีตที่ชอบจ่ายบอลสั้นๆ ให้กองหลัง

     จากเดิมที่ผ่านบอลยาวเฉลี่ย 15 ครั้ง และผ่านบอลสั้น 10 ครั้งต่อ 90 นาที มาฤดูกาลนี้ มิโญเลต์ สาดยาวถึง 21 ครั้ง และจ่ายสั้นๆ แค่ 6 ครั้งต่อ 90 นาที

     มีการเก็บสถิติ 3 เกมลีกที่ผ่านมา มิโญเลต์ พยายามผ่านบอลยาวเกิน 50 % ซึ่งมากกว่าฤดูกาลก่อนๆ และยังจ่ายบอลสั้นน้อยลงอย่างมาก ผลที่ตามมาคือความแม่นยำในการจ่ายบอลลดลง แต่กระนั้นก็ทำให้ทีมไม่เสียประตูมาต่อเนื่อง

     สาเหตุก็คือการเล่นบอลยาวเช่นนี้ ทำให้คู่เซนเตอร์แบ็กไม่ต้องเจอความกดดันมากนัก และ มิโญเลต์ ก็ไม่ต้องเจอการทดสอบความเหนียวมากนัก และยังลดบทบาทตัวเองลงไปด้วย ดูได้จากเกมที่แล้วที่งานยากของเขามีแค่จังหวะเดียวที่บินปัดลูกยิงของ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ อย่างสวยงามเท่านั้นเอง

     เดยัน ลอฟเรน เคยอธิบายเอาไว้ว่าผลงานที่ย่ำแย่ของเขาในฤดูกาลที่แล้ว เกิดจากการที่ตัวเองพลาดการอุ่นเครื่องปรีซีซั่นกับทีม โดยชี้ว่าเป็นส่วนสำคัญที่ในการสร้างความฟิตให้พร้อมสำหรับเกมแรกในลีก

เดยัน ลอฟเรน ได้ลงเล่น ปรีซีซั่น แบบเต็มสูบ

     ลอฟเรน เล่นด้วยฟอร์มที่ขาดความมั่นใจอย่างหนักในซีซั่นที่ผ่านมา แต่กระนั้น ร็อดเจอร์ส ก็ยังดูไว้วางใจในตัวของปราการหลังโครเอเชียคนนี้ และผลงานในปีนี้ของเจ้าตัวก็ก้าวกระโดดมาในมาตรฐานแบบที่เคยเล่นให้ เซาธ์แฮมป์ตัน และ ณ เวลานี้ เจ้าของค่าตัว 20 ล้านปอนด์ ก็ทำให้ มามาดู ซาโก้ หลุดตัวจริงแบบถาวร

     ฟอร์มของเขาโดดเด่นตั้งแต่เกมเปิดหัวกับ สโต๊ค ซิตี้ การเข้าสกัด การตัดบอล เข้าปะทะ ดูมั่นใจและแน่นอนอย่างมากกว่าที่เคยเป็น รวมทั้งยังดุดันมากขึ้น

     ความแกร่งของ ลอฟเรน มีส่วนสำคัญในการออกสตาร์ทที่ดีในปีนี้ ด้วยค่าเฉลี่ยการเอาชนะแบบตัวต่อตัว 3.7 ครั้งต่อ 90 นาที บ่งบอกได้ชัดเจน ซึ่งเป็นตัวเลขที่เหนือยิ่งกว่าใครทุกคนในแผงหลังชุดนี้

ความครบเครื่องของ นาธาเนี่ยล ไคลน์

     ฤดูกาลที่แล้ว ร็อดเจอร์ส ทดลองใช้งาน ฆาเบียร์ มานกิโญ่ แบ็กขวาที่ยืมมาจาก แอตเลติโก มาดริด และผลที่ออกมาคือไม่เวิร์กสักเท่าไร

ที่จริงก็ไม่ใช่ความผิดของฟูลแบ็กดาวรุ่งอะไรเลย แต่กระนั้น ร็อดเจอร์ส ก็ตัดสินใจดร็อปออกจากทีมชุดใหญ่แบบถาวร และไม่คิดจะซื้อตัวมาใช้แบบถาวร

     ด้วยเหตุที่ว่า มานกิโญ่ เป็นแบ็กประเภทเน้นเกมรับเป็นหลัก ซึ่งดูจะเป็นสไตล์ที่ไม่ตรงใจกับแนวคิดของนายใหญ่คนนี้สักเท่าไร ทำให้ฤดูกาลที่แล้ว ลิเวอร์พููล มีแบ็กขวาที่ไม่สมดุลเลยเมื่อเทียบกับจอมลุยอย่าง เกล็น จอห์นสัน ที่เน้นบุกแหลกโดยธรรมชาติ

     แต่ปีนี้การเซ็นสัญญา นาธาเนี่ยล ไคลน์ เจ้าของค่าตัว 12 ล้านปอนด์ ดูจะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้และผสมผสานให้เข้ากันทั้ง มานกิโญ่ และ จอห์นสัน ในตัวเขาคนเดียว

ไคลน์ มีเกมรับที่แข็งแกร่งในแบบ มานกิโญ่ โดยมีค่าเฉลี่ยชนะในการเข้าปะทะ 3 ครั้งต่อ 90 นาที ซึ่งมากที่สุดในแนวรับของ ลิเวอร์พูล และมีค่าเฉลี่ยในการถูกคู่แข่งหนีเพียง 0.3 ครั้งเท่านั้น น้อยกว่าใครๆ ในแผงแบ็กโฟร์ชุดนี้ เรียกว่าผ่านยากมากๆ นอกจากนั้นเขายังอ่านเกมได้ดี และยิงพิสูจน์ให้เห็นว่าเล่นลูกกลางอากาศได้ดีมากด้วย

     นอกจากนั้นยังเล่นเกมรุกได้ฉลาดกว่า จอห์นสัน ประเมินสถานการณ์ได้ดีว่าจังหวะไหนควรเติม หรือไม่ควรเติมได้ถูกต้องเสมอ นับว่าเป็นฟูลแบ็กที่สมบูรณ์แบบคนหนึ่ง ด้วยค่าตัวเพียง 12 ล้านปอนด์ที่แสนคุ้มค่าที่ทำให้เกมรับของทีมแข็งแรงทันตาเห็น

โจ โกเมซ แบ็กซ้ายที่ขันเกมรับให้แน่นหนา

     ที่จริงแฟนบอลหงส์แดงต่างเฝ้ารอคอยที่จะเห็นการกลับมาของ จอน ฟลานาแกน ที่บาดเจ็บหายหน้าไปนานร่วม 1 ฤดูกาลมากกว่า แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่มีท่าที่จะเกิดขึ้น

     สไตล์การเล่นของ ฟลานาแกน มีข้อจำกัดคือไม่ถนัดเล่นเกมรับโดยธรรมชาติในตำแหน่งแบ็กซ้าย จุดแข็งของเขาคือการเข้าปะทะและเน้นการผ่านบอลแบบง่ายๆ ดังนั้นเขาจึงเหมาะที่จะเป็นทางเลือกในกรณีที่ทีมต้องการเล่นเกมบุกแบบเต็มรูปแบบมากกว่า

     เหมือนเทียบตัวต่อตัวแล้วกับ โกเมซ วัย 18 ปี เซนเตอร์ฮาล์ฟที่เล่นแบ็กขวาได้ ถูกซื้อมาจาก ชาร์ลตัน ทั้งๆ ที่มีแต่ประสบการณ์แค่ในระดับ แชมเปี้ยนชิพ แต่ในช่วงปรีซีซั่นที่ผ่านมา เขาก็ทำเซอร์ไพรส์ให้โลกได้ตะลึง จนถึงขนาดว่าเบียด อัลแบร์โต้ โมเรโน่ แบ็กซ้ายอันดับ 1 ของทีมต้องตกกระป๋อง เพราะเกมรับที่แน่นอนกว่าของ โกเมซ ทำให้เกมรับของทีมมั่นคงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

     สังเกตว่ายามที่ ไคลน์ เติมสูงไปข้างหน้า โกเมซ จะขยับมาเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟในระนาบเดียวกับ สเคอร์เทล และ ลอฟเรน ส่งผลให้เกมรับเสถียรและแน่นอน และเช่นกันเมื่อ ไคลน์ ต้องเล่นเกมรับก็เปิดโอกาสให้ โกเมซ ได้ขึ้นไปสนับสนุน ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ในกราบซ้ายเช่นกัน แม้อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยก็ตาม

การไม่มี สตีเว่น เจอร์ราร์ด ในแดนกลางอีกต่อไป

     นับตั้งแต่ เจอร์ราร์ด ตำนานของทีมย้ายไปหาประสบการณ์ใหม่ที่ แอลเอ กาแล็คซี่ ในซัมเมอร์ที่ผ่านมา ก็ดูเหมือนอดีตกัปตันรายนี้จะมีความสุขกับการเล่นฟุตบอลอีกครั้ง และด้วยผลงานของ ลิเวอร์พูล ที่ดีขึ้นในตอนนี้ ก็คงพอบอกได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ได้ประโยชน์ต่อทั้ง เจอร์ราร์ด และ ลิเวอร์พูล

     บทบาทของ เจอร์ราร์ด เป็นอะไรที่น่าสับสนในซีซั่นที่ผ่านมา ต่างไปจากในฤดูกาล 2013-14 ที่ชัดเจนว่าเขาคือเพลย์เมกเกอร์ตัวต่ำที่เกือบพาทีมไปถึงแชมป์ หรืออย่างในฤดูกาล 2008-09 เขาก็คือหน้าต่ำหมายเลข 10 ที่คอยล่าประตูให้ทีม

     ซีซั่นที่แล้ว ร็อดเจอร์ส แสดงออกชัดเจนว่าเขาไม่ค่อยไว้วางใจ เจอร์ราร์ด อีกแล้ว ในการเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวรับ ด้วยเรี่ยวแรงและพละกำลังที่ดูจะถดถอยไปจากเดิมอย่างมาก

     หลักฐานสำคัญคือเขาไม่เคยรับมือคู่แข่งได้เลยในเกมที่ต้องพ่ายแพ้ อย่างนักเตะประเภท สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง, ชาร์ลี อดัม และ เจสัน ปันเชียน เป็นต้น และนั่นบ่งชี้ว่า เจอร์ราร์ด ไม่ได้เหมาะสมกับการทำหน้าที่ปกป้องหน้าแผงแบ็กโฟร์อีกต่อไป

     การสูญเสีย เจอร์ราร์ด ส่งผลให้ทีมดูมีสมดุลมากกว่าที่เคย ด้วยนักเตะที่มีอยู่อย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เจมส์ มิลเนอร์, เอ็มเร่ จัน และ ลูคัส เลว่า ที่เล่นเกมรับได้ดีกว่า ดังนั้นพอจะสรุปได้ว่า การจากไปของ เจอร์ราร์ด คือการเริ่มต้นที่ดีที่สุดในการปักโครงสร้างใหม่ให้เข้มข้นมากกว่าที่เคย

ADS