หน้าแรก / ข่าวลิเวอร์พูล / 5 สัญญานแง่บวกของ ลิเวอร์พูล กับเกมรุกโฉมใหม่ในฤดูกาลนี้

5 สัญญานแง่บวกของ ลิเวอร์พูล กับเกมรุกโฉมใหม่ในฤดูกาลนี้

5 สัญญานแง่บวกของ ลิเวอร์พูล กับเกมรุกโฉมใหม่ในฤดูกาลนี้

5 สัญญานแง่บวกของ ลิเวอร์พูล กับเกมรุกโฉมใหม่ในฤดูกาลนี้

 

เจมส์ มิลเนอร์ จะอุดช่องโหว่การจากไปของ เจอร์ราร์ด

     เดิมทีตอนที่ มิลเนอร์ เข้ามาร่วมทีมเมื่อต้นซัมเมอร์ใหม่ๆ นั้น ดูจะไม่ได้รับการคาดหวังในทางบวกสักเท่าไร แต่ตอนนี้เขาเริ่มแสดงให้เห็นแล้วว่า เขากำลังจะกลายมาเป็นคีย์แมนคนสำคัญในฤดูกาลนี้

     กองกลางวัย 29 ปี ดูจะพอใจกับการได้มาเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวกลาง หลังจากเล่นมาหลายตำแหน่งเหลือเกินกับทีมเก่าอย่าง แมน ซิตี้ และเขาก็ไม่มีจุดอ่อนเลยในการรับบทบาทนี้

     มิลเนอร์ มีทั้งความเร็ว, ความแข็งแกร่ง, มันสมอง, ความสร้างสรรค์ และความขยันที่ไม่มีหมด และที่สำคัญดูจะเล่นเข้าขาได้ดีกับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ในการยืนคู่กันตรงกลางสนาม

     จริงอยู่ว่า มิลเนอร์ ไม่มีทางที่จะมีฝีเท้าใกล้เคียงกับ เจอร์ราร์ด ได้ แต่สิ่งต่างๆ ที่กล่าวมา ก็พอจะมีทดแทนตำนานหมายเลข 8 ได้ไม่มากก็น้อย ด้วยประสบการณ์ของตัวเขาเอง และในแง่ของความเป็นผู้นำ มิลเนอร์ ก็เป็นแบบอย่างที่ดีของความทุ่มเทแบบมืออาชีพ 100 % ในการลงสนามทุกนัด บางทีเขากลายเป็นการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดของ ลิเวอร์พูล ในรอบหลายปีนี้เลยก็เป็นได้

การก้าวกระโดดขึ้นมาของ โจ โกเมซ

     ในบรรดานักเตะที่ ร็อดเจอร์ส ซื้อมาทั้งหมดในซัมเมอร์นี้ โกเมซ ดูจะเป็นคนที่โนเนมที่สุดจากรายชื่อแข้งใหม่ทั้งหมด

     กองหลังวัย 18 ปี ถูกซื้อตัวมาจาก ชาร์ลตัน แอธเลติก โดยหวังไว้ว่าจะเป็นการลงทุนในระยะยาวสำหรับอนาคต และใครๆ ก็คาดว่าเขาคงจะโดนปล่อยยืมตัวแน่ในฤดูกาลนี้

     แต่เรื่องกลับตาลปัตร เมื่อ โกเมซ กลับทำผลงานได้ดีเกินที่ใครจะคาดในการเล่นช่วงปรีซีซั่น ทั้งๆ ที่ไม่ได้เล่นในตำแหน่งธรรมชาติของตัวเองเลย

     ในบทบาทแบ็กซ้าย ซึ่งถูกจองตัวจริงโดย อัลแบร์โต้ โมเรโน่ โกเมซ กลับทำได้ดีกว่ามาก ทั้งในแง่เกมรับและเกมรุกที่บุกขึ้นหน้าได้เป็นอย่างดี ภาพรวมจึงออกมาทำให้เขาดูมีระดับกว่าที่ประเมินกันเอาไว้

     แม้ว่าการเจอกับคู่ต่อสู้ในช่วงอุ่นเครื่อง จะมีแต่ทีมที่ฝีเท้าอ่อนกว่า แต่การที่ โกเมซ จะแสดงพรสวรรค์ออกมาได้มากขนาดนี้ น่าจะไม่ใช่เรืองปกติแน่นอน และ ร็อดเจอร์ส ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาไม่เคยกลัวในการให้โอกาสดาวรุ่ง และตอนนี้ โกเมซ ก็มีท่าทีที่จะได้เป็นตัวจริงในนัดเยือน สโต๊ค เสียด้วย

ฟอร์มการเล่นที่คงเส้นคงวาของ อดัม ลัลลาน่า

     ฤดูกาลที่แล้วซึ่งเป็นปีแรกของ ลัลลาน่า เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงทั้งปัญหาการบาดเจ็บเรื้อรัง และขาดการเล่นเกมปรีซีซั่นในปีที่แล้ว ทำให้เกิดปัญหากับการปรับตัวกับทีมในซีซั่นที่ผ่านมา

     แต่การติดทีมไปอุ่นเครื่องในซัมเมอร์นี้ ดูท่าว่า ลัลลาน่า จะเครื่องร้อนเร็วกว่าใครๆ เพราะดาวเตะวัย 27 ปี โชว์ผลงานดีมาก ทั้งการยิงประตูสวยๆ ถึง 2 ประตู, ความขยันไล่บอล และปั้นเกมรุกได้ดุดันร่วมกับจอร์ดอน ไอบ์ ที่ยืนอีกฝั่งของสนาม ดูจะได้รับคำชื่นชมอย่างมาก

     สิ่งที่ขาดหายไปของ ลิเวอร์พูล ในปีก่อนก็คือการทำประตู และอดีตกัปตัน เซาธ์แฮมป์ตัน คนนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าถ้าเขาฟิตพร้อม การเบิกสกอร์ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด

     อย่าลืมว่าครั้งหนึ่ง ลัลลาน่า เคยมีชื่อติดโผนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ พีเอฟเอ มาแล้วเมื่อไม่กี่ปีมานี้ และปีนี้อาจถึงเวลาคืนฟอร์มร้อนแรงของเขาอีกครั้งก็เป็นได้

บทบาทกัปตันที่โดดเด่นของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน

     ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไรมากมายที่ เฮนเดอร์สัน ได้รับตำแหน่งนี้แทน เจอร์ราร์ด ที่สวมปลอกแขนมานาน แต่ก็มีแฟนบอลบางกลุ่มที่สงสัยในบารมีของเขาว่าจะเหมาะสมสักแค่ไหน

     แต่ก็ได้เห็นกันไปแล้วในการตระเวนอุ่นเครื่องว่ากองกลางวัย 25 ปี กำลังไปได้สวยกับบทบาทผู้นำคนใหม่ เรียกว่ามีออร่าเตะตาทั้งในและนอกสนาม

     ฝีเท้าความสามารถของ เฮนเดอร์สัน ดูจะพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งคุณภาพในการผ่านบอลที่ดูแม่นยำมากขึ้น และยังยกระดับในความขยันที่วิ่งขึ้นลงในสนามได้มากกว่าที่เคยเป็นมา

     ด้วยอายุที่ยังน้อย เขาจะยังคงสามารถปรับปรุงได้ทั้งทางร่างกายและเทคนิค ถ้า ร็อดเจอร์ส สามารถขัดเกลาเขาได้อีก เฮนโด มีสิทธิ์ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดคนหนึ่งของ พรีเมียร์ ลีก ได้เลย

     เราอาจจะไม่ได้คาดหวังให้เขาเก่งในระดับเดียวกับ เจอร์ราร์ด แต่เชื่อว่าเขาจะไปถึงการเป็นผู้เล่นระดับท็อปของ แอนฟิลด์ ได้ใน 4-5 ปีข้างหน้านับจากนี้

ลุคใหม่โฉมใหม่ของกองหน้าหงส์แดง

     ต้องรอจนกระทั่งนัดสุดท้ายของการอุ่นเครื่อง ถึงจะได้เห็นฟอร์มของ 2 ดาวเตะค่าตัวแพงอย่าง คริสติย็อง เบนเตเก้ และ โรแบร์โต้ ฟีร์เมียโน่ ลงสนาม และก็ไม่ทำให้ใครต้องผิดหวัง เมื่อทั้งคู่โชว์ฟอร์มที่น่าประทับใจออกมาในการบุกไปชนะ สวินดอน ทาวน์ 2-1 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

     ในเกมดังกล่าว ทั้งสองคนมีการประสานงานกันชัดๆ ถึง 9 ครั้ง และดูจะเป็นเรื่องที่ดียิ่งกว่าการเห็น เบนเตเก้ ทำประตูได้เสียอีก ทั้งที่สองคนนี้ยังไม่เคยเล่นด้วยกันมาก่อนเลยด้วยซ้ำ

     กระนั้นประตูเบิกร่องจาก เบนเตเก้ ก็สวยงดงามไม่น้อย เพราะเป็นจังหวะยิงที่ยาก ด้วยการพักบอลและกลับตัวยิงแบบไม่มองประตู ขณะที่ ฟีร์เมียโน่ ก็โชว์ความแข็งแกร่งและความมีระดับทั้งในการลากเลื้อย, การผ่านบอล และการหาจังหวะยิงไกล

ADS