หน้าแรก / ข่าวลิเวอร์พูล / 10 สิ่งที่ต้องทำหลังจากหมดยุค สตีเว่น เจอร์ราร์ด

10 สิ่งที่ต้องทำหลังจากหมดยุค สตีเว่น เจอร์ราร์ด

earthmomo 2015-05-12 16:24:55 ลิเวอร์พูล
10 สิ่งที่ต้องทำหลังจากหมดยุค สตีเว่น เจอร์ราร์ด


10 สิ่งที่ต้องทำหลังจากหมดยุค สตีเว่น เจอร์ราร์ด

     เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เคยออกมากล่าวยกย่อง สตีเว่น เจอร์ราร์ด ว่า " ไม่สามารถมีใครมาแทนที่" หลังจากกัปตันรายนี้เป็นผู้ทำประตูให้ทีมเสมอ เชลซี ไป 1-1 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

     การไม่มี เจอร์ราร์ด หลังจากนี้ถือเป็นสิ่งที่ใครหลายคนไม่อาจคาดคิด และนั่นเป็นเหตุผลหลักที่ทีมต้องหาทางรับมือและนำพาทีมเพื่อเดินหน้าต่อไปให้ได้

     ร็อดเจอร์ส ได้กล่าวไว้าว่า " เราต้องการที่จะหาทางแก้เกี่ยวกับปัญหานี้ไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการนำผู้เล่นเข้ามาหรือใช้ผู้เล่นที่เรามีเพื่อเดินหน้าต่อ ทุกสิ่งคือเราต้องทำมัน "

     และนี่คือปัญหาที่เกิดขึ้นกับ 10 วิธีที่เราต้องพิจารณาเพื่อแก้ใขมันครับ...


1. การเพิ่มความแข็งแกร่งทางจิตใจและร่างกาย

     จากเกมการแข่งขันที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ถือเป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นความพยายามแก้ไขปัญหาในระหว่างเกมจากทาง ลิเวอร์พูล พวกเขาดูจะพยายามกลับมาให้ได้ด้วยศักยภาพที่พวกเขามี

     แต่ถึงกระนั้นพวกเขายังดูขาดคาแรคเตอร์ที่จะกำราบฝ่ายตรงข้ามได้ยามที่ทีมต้องการ และยิ่งในอนาคตข้างหน้าสโมสรจะก้าวผ่านยุคสมัยของ เจอร์ราร์ด นั่นยิ่งทำให้ผมเป็นกังวลว่าผู้ใดจะสามารถขึ้นมาสร้างแรงกระตุ้นในเรื่องของสภาพจิตใจและเค้นพลังออกมาในเกมสำคัญ ๆ เช่นนี้ได้

     และนั่นเองคือสิ่งที่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ควรจะทำเพื่อเปลี่ยนแปลงในจุดนี้เป็นอันดับแรกก่อนฤดูกาลหน้าจะมาถึง


2. ประสบการณ์นักเตะ

     สิ่งที่เราได้เห็นในสนาม สแตมฟอร์ด บริดจ์ ก็คือผู้เล่นรุ่นเยาวชนของสโมสรหลายรายได้มีโอกาสสัมผัสเกมใหญ่ ๆ เช่นนี้ และนั่นถือเป็นสิ่งที่จำเป็นเลยล่ะ

     สิ่งเหล่านี้เคยสร้างนักเตะดาวรุ่งอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิง มาแล้ว ครั้นที่ ร็อดเจอร์ส เคยจัดผู้เล่นดาวรุ่งลงเล่นในศึก ยูโรป้า จนเจ้าหนูตัวจี๊ดก้าวมาเป็นผู้เล่นตัวความหวังได้ในยุคปัจจุบัน

     การที่ผู้เล่นเหล่านี้มีโอกาสได้เผชิญหน้ากับนักเตะอย่าง เทอร์รี่ ฟาเบรกาส และ เอเดน ฮาซาร์ มันมีแต่ได้กับได้แน่นอน

 


3. เพิ่มความแข็งแกร่งในแดนกลางของทีม

     ในตำแหน่งกองกลางคือปัญหาสำหรับ ร็อดเจอร์ส ในฤดูกาลนี้ และมีความเป็นไปได้สูงที่ เจมส์ มิลเนอร์ จะเข้าสู่สโมสรแบบไร้ค่าตัวหลังปิดฤดูกาล ด้วยประสบการณ์และความเป็นผู้นำของเขาถือเป็นการตัดสินใจที่ดีที่เราควรมีผู้เล่นในแบบเขาเข้ามาเสริมทัพ

     ซีซั่นนี้ ลูคัส เลว่า ต้องเจอกับปัญหาบาดเจ็บเสียส่วนใหญ่ ทำให้ความดุดันของทีมลดลงไปพอสมควร เพราะฉะนั้นเราต้องหาคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อเป็นการกดดันในทุก ๆ ตำแหน่งของเรา เพื่อให้เกิดการแข่งขันภายในทีมให้ได้มากที่สุด

 


4. หาคู่แข่งในการชิงตำแหน่งกับ ซิมง มิโญเล่ต์

     ภาพของ เนโต้ มือกาวบราซิเลี่ยนจาก ฟิออเรนติน่า ลอยเข้ามาในหัวทันที่ หากเราสามารถดึงเขาเข้ามาร่วมทัพได้ เชื่อว่าน่าจะเป็นการขับเขี้ยวกันดุเดือดเต็มที่ระหว่าง เนโต้ กับ มิโญเล่ต์ ในซีซั่นหน้า

Is Norberto Neto the man to replace Mignolet

 


5. หาทางเป็นผู้ชนะในเกมใหญ่

     ลิเวอร์พูล ถือมีสถิติที่ย่ำแย่พอสมควรยามเจอทีมหัวตารางในซีซั่นนี้ ร็อดเจอร์ส ต้องเรียนรู้ที่จะพิชิตทีมระดับท็อปอย่าง เชลซี, แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด, แมนเชสเตอร์ซิตี และ อาร์เซนอล ให้ได้

     ถ้าพวกเขายังปล่อยให้ผลงานยามเจอกันเป็นไปอย่างที่แล้ว ๆ มา เรื่องที่จะพาทีมขึ้นไปหัวตารางเพื่อคว้าความสำเร็จนั้นลืมไปได้เลย

Chelsea's Branislav Ivanovic, John Terry, Gary Cahill in action with Liverpool's Martin Skrtel, Jerome Sinclair and Dejan Lovren
Reuters / Eddie Keogh


6. เพิ่มความเฉียบขาดในแดนหน้า

     จะเชื่อก็ต้องเชื่อครับว่าผู้เล่นที่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส มองว่าหมดสภาพอย่าง เจอร์ราร์ด คือนักเตะที่ทำประตูได้มากที่สุดในทีมชุดนี้ (12 ประตูรวมทุกรายการ) ทั้งเหตุทั้งมวลนั้นเกิดมาจากที่เราต้องเสีย ซัวเรซ ออกจากทีม และไม่มี สเตอร์ริดจ์ ที่มีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวน ทำให้ปัญหาการจบสกอร์คือปัญหาสำคัญที่เราต้องหลุดพื้นที่ ชปล. ในซีซั่นนี้

     ถึงแม้ผู้เล่นอย่าง คูตินโญ่ สเตอร์ลิง และ เฮนเดอร์สัน จะยกระดับเรื่องการทำประตูขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่ตอบโจทย์ได้เพียงพอ และการที่เราใกล้ได้ตัว แดนนี่ อิงส์ มาร่วมทัพ น่าจะทำให้เรามีความเฉียบขาดมากขึ้นในตำแหน่งศูนย์หน้า

Danny Ings (celebrates scoring the opening goal with team mates

7. เคลีย์ส่วนเกินออกจากทีม

     การซื้อขายนักเตะในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาของ ลิเวอร์พูล ถือว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงเมื่อพิจารณาจากเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่เสียไป และสิ่งที่เราจำเป้นต้องทำหลังจากนี้คือการนำผู้เล่นที่ไร้ประโยชน์อย่าง บาโลเตลลี่ และ บอรินี่ ออกจากสโมสรเมื่อมีโอกาส


8. หาแผนการเล่นที่ชัดเจนให้ได้

     ในซีซั่นเรามักจะได้เห็น ร็อดเจอร์ส ใช้แผนการเล่นอย่าง 4-4-2, 3-4-3 และ 4-3-3 และพยายามให้ผู้เล่นเหล่านั้นซึมซับรูปแบบการเล่นที่ตัวเองวางไว้ให้ได้ทันทีทันใด และบางทีเราคงจะเห็นบ่อยครั้งว่าเราได้เปลี่ยนรูปแบบการยืนตำแหน่ง 2-3 แผนเกมเล่นในเกม ๆ เดียว

     บางที ร็อดเจอร์ส ควรจะหาแผนการเล่นที่แน่นอนให้แก่ทีมได้เสียที เพื่อความคงเส้นคงวารวมไปถึงความเข้าใจรูปแบบการเล่นอย่างถ่องแท้โดยเฉพาะสำหรับผู้เล่นหน้าใหม่ที่ทีมนำเข้ามา


9. หยุดปล่อยผู้เล่นระดับไอคอนของสโมสรออกไปโดยไม่คำนึงผลที่ตามมา

     ก่อนหน้านี้ เราจะมี เจมี่คาร์ราเกอร์ คอยให้คำแนะนำแก่รุ่นน้องและเป็นศูนย์รวมจิตใจภายในห้องแต่งตัว เช่นเดียวกับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด การที่เรามีผู้เล่นเหล่านี้มันจะสร้างบรรยากาศในห้องแต่งตัวได้ดีพอสมควรโดยเฉพาะยามอยู่ในสถานการณ์คับขัน

     ยกตัวอย่างทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุดในลีกในยุคหลัง ๆ อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พวกเขามักเก็บผู้เล่นอย่าง ไรอัน กิ๊ก หรือ พอล สโคลล์ ไว้อยู่กับทีม แม้พวกเขาแทบจะไม่มีส่วนร่วมกับเกมในสนามก็ตาม แต่เบื้องหลังแล้วพวกเขาคือส่วนสำคัญในการนำพาดาวเตะรุ่นน้องอย่างแท้จริง

Liverpool should get Steven Gerrard and Jamie Carragher into coaching roles at the club


10. ประเมินผลงานจากเจ้าของทีม

     บางที ร็อดเจอร์ส อาจมีหนาว ๆ ร้อน ๆ ไม่น้อยจากความล้มเหลวในฤดูกาลนี้ และยิ่งสโมสรเพิ่งใช้เงินเป็นจำนวนมหาศาลในซัมเมอร์ก่อนแล้วด้วย ทางเจ้าของทีมอาจมีการหารือและนัดประชุมบอร์ดกันหยกใหญ่หลังเกมในลีกได้ปิดฉากลง

     และหลังจากนั้นเราน่าจะเห็นทิศทางในซีซั่นหน้ามากขึ้นว่า ร็อดเจอร์ส จะมีโอกาสได้พิสูจน์ตัวเองต่อหรือไม่? และระยะเวลาประเมินผลงานของ ร็อดเจอร์ส จะมีถึงเมื่อไหร่? รวมไปถึงงบประมาณในการทำทีมยังคงเต็มที่เพื่อซีซั่นหน้าอยู่หรือเปล่า?

     ทุกอย่างยังคงสรุปได้ไม่แน่ชัด แต่ผมเชื่อลึก ๆ ว่าทางเฟนเวย์สปอร์ตกรุ๊ปคงไม่นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ และเราจะได้เห็นบทสรุปหลังจบฤดูกาลเป็นแน่แท้...

Liverpool shareholder John W Henry has become increasingly reclusive in the running of the club

ADS