หน้าแรก / ข่าวลิเวอร์พูล / 5 สิ่งที่ต้องรู้หลังจบเกมเจ๊าจืดโบลตัน 0-0

5 สิ่งที่ต้องรู้หลังจบเกมเจ๊าจืดโบลตัน 0-0

5 สิ่งที่ต้องรู้หลังจบเกมเจ๊าจืดโบลตัน 0-0

5 สิ่งที่ต้องรู้หลังจบเกมเจ๊าจืดโบลตัน 0-0

          แน่นอนว่าสาวก "เดอะ ค็อป" คงเซ็งไม่น้อยกับผลการแข่งขันในเกม เอฟเอ คัพ กับทางด้าน โบลตัน ที่จบลงด้วยการเสมอกันไป 0-0 และนั่นทำให้พวกเขาต้องเพิ่มคิวเตะนัดรีเพลย์อีกครั้งในช่วงกลางสัปดาห์หน้า อย่างไรก็ดีวันนี้เราขออาสาเก็บตกสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมและหลังเกมมาให้ชมกันนะครับ...


 

1. "หงส์แดง" ไร้ดวงบวกหอกฝืด

          ลิเวอร์พูล มีโอกาสจบสกอร์ถึง 24 ครั้งในเกมนี้ แต่พวกเขาต้องพบกับอุปสรรคสำคัญอย่าง อดัม บ็อกดาน นายทวารจอมหนึบของ โบลตัน วันเดอเรอร์ส ที่ผีเข้าในวันนี้พอดี เพราะมีถึง 9 ครั้งที่เขาได้เซฟสวย ๆ ป้องกันประตูไว้ได้ ซึ่งมันคงเป็นเรื่องของโชคและดวงบวกฝีมือของ บ็อกดาน

          แต่ที่แน่ ๆ สิ่งที่โทษใครไม่ได้เลยก็คือ เกมรุกที่ไร้ประสิทธิภาพในการจบสกอร์ หรือเรียกง่าย ๆ ว่า "สาก" ซึ่งเกมนี้จะเห็นว่านักเตะในเกมรุกทุกคนไม่กล้าแม้แต่จะวางเท้ายิง ทั้ง ๆ ที่ระยะน่าจะพอลุ้นได้ อาจจะไม่ได้ถึงกับต้องลองส่องไกล แต่ถ้าอยู่ในระยะไม่เกิน 20 หลา ก็น่าจะลองซัดดูสักตั้ง เผื่อว่าบอลจะเป็นใจในจังหวะซ้ำก็เป็นได้

          หวังว่าการกลับมาของ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ จะเพิ่มมิติในเกมรุกให้ดีกว่าเดิม และช่วยพาทีมไปได้ไกลกว่านี้ในทุก ๆ รายการ โดยส่วนตัวผมยังไม่อยากให้ สเตอร์ริดจ์ รีบเร่งในการลงสนามมากจนลืมว่าตัวเองเจ็บไปนานแค่ไหน เพราะฉะนั้นพักฟื้นให้หายดีและเรียกความฟิตให้พร้อมสมบูรณ์ที่สุดดีกว่า จะได้ไม่ต้องเจ็บซ้ำซาก


 

2. โปรแกรมที่อัดแน่นในเดือนกุมภาพันธ์

          จากผลเสมอจึงทำให้พวกเขาทั้งคู่ต้องลงเตะในนัดรีเพลย์อีกครั้งในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เกมลีกหรือนัดรีเพลย์ดังกล่าว แต่มันกลับลากยาวมากตั้งแต่กลางเดือนมกราคม ในศึก ลีก คัพ นัดแรกกับ เชลซี นั่นหมายความว่า ลิเวอร์พูล ต้องลงเตะโปรแกรมนอกเหนือจากพรีเมียร์ลีกถึง 6 เกม จาก 10 นัดที่ลงเตะจนเข้าสู่เดือนมีนาคม (ลีก คัพ-2, เอฟเอ คัพ-2, ยูโรป้า ลีก-2, พรีเมียร์ลีก-4)

View image on Twitter

          ซึ่งผลกระทบจากการที่มีโปรแกรมมากขึ้น นอกจากการจัดตัวหรือการปรับทัพที่วุ่นวายแล้ว ยังต้องลุ้นความฟิตของนักเตะและอาการบาดเจ็บที่อาจจะตามมาได้ เมื่อเปรียบเทียบกับโปรแกรมฤดูกาลที่แล้ว ต้องบอกว่าต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว แถมคู่แข่งที่ต้องเผชิญหน้ากันต่อไปนี้มีแต่พวกบิ๊กเนมล้วน ๆ ไม่ว่าจะเป็น เชลซี, เอฟเวอร์ตัน, สเปอร์ส, เซาท์แฮมป์ตัน และ เบซิคตัส พ่วงท้ายอีกเกมด้วยการพบกับ แมนฯ ซิตี้ ในวันที่ 1 มีนาคม


 

3. การกลับมาของ จอห์นสัน, เอ็นริเก้, มานกีโญ่, อัลเลน และ ลัลลานา แม่ไม่ปลื้ม

LIVERPOOL, ENGLAND - Saturday, January 24, 2015: Liverpool's Joe Allen in action against Bolton Wanderers during the FA Cup 4th Round match at Anfield. (Pic by Lindsey Parnaby/Propaganda)

          จริงอยู่ที่เกม เอฟเอ คัพ อาจเป็นเวทีสำหรับแข้งสำรองและแข้งสนิมเกาะก็จริง แต่เป้าที่ถูกเล็ง 5 รายอย่าง จอห์นสัน, เอ็นริเก้, มานกีโญ่, อัลเลน และ ลัลลานา กลับโชว์ฟอร์มได้ไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้มีหวังอาจกลับมาเป็นตัวจริงลำบาก โดยเฉพาะ เกล็น จอห์นสัน, โฆเซ่ เอ็นริเก้ และ ฆาบี มานกีโญ่ ส่วนอีกสองรายหากไม่ย่ำแย่จนเกินไปก็ยังมีลุ้นอยู่นิด ๆ ก็ได้แต่หวังว่านักเตะเหล่านี้จะไม่ลงสนามในเกมต่อไปที่จะพบกับ เชลซี เพราะไม่อย่างนั้นคงจะโดน "สิงห์บลูส์" จัดการแน่นอน


 

4. เมื่อเจอรถบัสถึงกับไปไม่เป็น

          เป็นอีกหนึ่งเรื่องจริงที่ช่วงหลัง ๆ เริ่มกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง เพราะคู่แข่งที่พบกับ ลิเวอร์พูล พยายามจะตั้งรับต่ำและลึก เพราะรู้อยู่แล้วว่า "หงส์แดง" จะต้องเล่นเกมสวนกลับเร็ว แต่เมื่อไม่สามารถเป็นไปตามแผนที่วางไว้ได้ ทำให้พวกเขาต้องเน้นต่อบอลเจาะแนวรับคู่แข่ง แต่สิ่งที่พลาดสุด ๆ ก็คือประสิทธิภาพในเกมรุกที่ไม่ดีพอ

LIVERPOOL, ENGLAND - Saturday, January 24, 2015: Liverpool's Philippe Coutinho Correia in action against Bolton Wanderers' Dorian Dervite during the FA Cup 4th Round match at Anfield. (Pic by Lindsey Parnaby/Propaganda)

          โดยเกมนี้นอกจาก อดัม บ็อกดาน จะเป็นฮีโร่ของ โบลตัน แล้ว แนวรับทั้งสี่คนรวมถึงมิดฟิลด์ตัวรับของทีมช่วยเหลือกันได้อย่างสามัคคี ต่างกับ ลิเวอร์พูล ที่เล่นเหมือนไม่ได้ซ้อมกันมา นอกจากนี้ดูเหมือนว่าพื้นสนามที่ แอนฟิลด์ จะเป็นปัญหากับนักเตะของตัวเอง ทำให้จับบอลได้ไม่ดีและต่อบอลกันไม่ได้ (ผมประชดนะครับ) ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับความฟิตและการรักษาฟอร์มของนักเตะล้วน ๆ ไม่เกี่ยวกับพื้นสนามแต่อย่างใด

          แน่นอนว่าการบ้านโจทย์ใหญ่ นอกจากจะแก้ปัญหาเกมรับแล้ว การต้องเผชิญกับทีมที่เล่นรับต่ำต้องหาวิธีรับมือให้ได้ ก่อนที่จะทำคะแนนหลุดมือจากสามแต้มจะเหลือเพียงแต้มเดียว ซึ่งไม่แน่ว่าต่อไปจากนี้อาจจะเห็นทีมที่บุกมา แอนฟิลด์ พารถบัสมามาจอดขวางหน้าประตูก็เป็นได้


 

5. "กัปตันเฮนโด้"! ผู้ขับเคลื่อน "หงส์แดง" อย่างแท้จริง

          หนึ่งในนักเตะที่ฟอร์มดีอย่างต่อเนื่องอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ซึ่งกำลังจะได้รับปลอกแขนกัปตันถาวรต่อจาก สตีเว่น เจอร์ราร์ด ที่กำลังจะอำลาทีมในไม่ช้านี้ ทำให้เขาเป็นดั่งพลังงานแฝงของ ลิเวอร์พูล ทั้งเรื่องการออกบอล, จ่ายบอล, ไล่บอล และตัดบอล ทุกอย่างเริ่มจะเข้าที่เข้าทางมากขึ้น เชื่อลึก ๆ เลยว่าฤดูกาลหน้า เขาจะกลายเป็นนักเตะระดับต้น ๆ ของพรีเมียร์ลีกได้แน่นอน

LIVERPOOL, ENGLAND - Saturday, January 24, 2015: Liverpool's Jordan Henderson in action against Bolton Wanderers during the FA Cup 4th Round match at Anfield. (Pic by Lindsey Parnaby/Propaganda)

          อย่างไรก็ตาม ผู้เล่นเพียงคนเดียวไม่อาจจะนำพาทีมไปสู่ความสำเร็จได้ ถ้าไม่มีองค์ประกอบที่เหมาะสม เพราะฉะนั้นเพื่อนร่วมทีมทุกคนต้องมุ่งมั่นตั้งใจในการซ้อมและเล่นกันอย่างเป็นระบบมากกว่าการที่จะเล่นเพื่อโชว์ผลงานของตัวเอง


 

          โปรแกรมต่อจากนี้ไปของ "หงส์แดง" ถือว่าหนักเอาการ เพราะนอกจากจะต้องพบกับทีมใหญ่ ๆ ในหลายรายการแล้ว พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับจำนวนคิวลงเตะที่ชุกชุมเป็นยุงป่า อย่าลืมเป็นกำลังใจให้กับพลพรรค ลิเวอร์พูล ฝ่าฟันอุปสรรคหนักหนาในช่วงเดือนสองเดือนนี้ไปให้ได้ ติดตามชมและเชียร์ได้ที่นี่ @Siamliverpool ครับ

ADS